สัญญากู้ยืมเงิน กรอกแบบฟอร์ม

ต้องทำยังไงบ้าง

1. เลือกแบบฟอร์มนี้

เริ่มต้นโดยการคลิกที่ "กรอกแบบฟอร์ม"

1 / เลือกแบบฟอร์มนี้

2. กรอกเอกสาร

ตอบคำถามบางข้อแล้วเอกสารของคุณก็จะถูกสร้างขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

2 / กรอกเอกสาร

3. บันทึก - พิมพ์

เอกสารของคุณพร้อมแล้ว คุณจะได้รับเอกสารดังกล่าวในรูปแบบ Word และ PDF ซึ่งคุณสามารถทำการแก้ไขได้

3 / บันทึก - พิมพ์

ตัวเลือกพิเศษสำหรับการปรึกษาทนายความ

คุณสามารถเลือกที่จะขอรับความช่วยเหลือจากทนายความได้หลังจากกรอกเอกสารเสร็จแล้ว

ตัวเลือกพิเศษสำหรับการปรึกษาทนายความ

สัญญากู้ยืมเงิน

ปรับปรุงล่าสุด ปรับปรุงล่าสุด สัปดาห์ที่แล้ว
รูปแบบ รูปแบบWord และ PDF
ขนาด ขนาด15 ถึง 22 หน้า
4.6 - 211 คะแนนโหวต
กรอกแบบฟอร์ม

ปรับปรุงล่าสุดปรับปรุงล่าสุด สัปดาห์ที่แล้ว

รูปแบบรูปแบบที่มีให้ Word และ PDF

ขนาดขนาด 15 ถึง 22 หน้า

ตัวเลือก ความช่วยเหลือจากทนายความ

คะแนน 4.6 - 211 คะแนนโหวต

กรอกแบบฟอร์ม

สัญญากู้ยืมเงินคืออะไร

สัญญากู้ยืมเงิน (Loan Agreement) หรือสัญญากู้เงิน คือ สัญญาที่ผู้ให้กู้นำเงินมาให้กู้ยืมแก่ผู้กู้ โดยที่ผู้กู้ตกลงจะชำระดอกเบี้ยและใช้คืนเงินต้นให้แก่ผู้ให้กู้ตามกำหนดระยะเวลาและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน


จำเป็นต้องทำสัญญากู้ยืมเงิน หรือไม่

จำเป็น เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้การกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาท ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้กู้ จึงจะสามารถฟ้องร้องบังคับกันได้ในกรณีที่มีข้อพิพาทเกิดขึ้นในอนาคต (เช่น ผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้)


ดอกเบี้ยคืออะไร

ดอกเบี้ย (Interest) คือ ค่าตอบแทนที่ผู้กู้ชำระให้แก่ผู้ให้กู้เพื่อเป็นค่าตอบแทนจากการให้กู้ยืมเงินซึ่งคู่สัญญาสามารถกำหนดอัตรา ระยะเวลาจ่าย และวิธีคำนวณได้ตามที่คู่สัญญาเห็นสมควร

ข้อสำคัญ: เมื่อคิดคำนวณเทียบเป็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) จะต้องไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี สำหรับการกู้ยืมเงินที่ผู้ให้กู้เป็นบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (เช่น ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์) ทั้งนี้ อัตราที่กฎหมายกำหนดดังกล่าวไม่รวมถึง เบี้ยปรับ (เช่น ดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัด)

ในกรณีที่คู่สัญญาตกลงคิดดอกเบี้ยกันเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ข้อตกลงเกี่ยวกับการคิดดอกเบี้ยที่เกินอัตราจะไม่สามารถใช้บังคับได้ และผู้ให้กู้ยังอาจมีความรับผิดทางอาญาอีกด้วย


ไม่ควรระบุ/กำหนดข้อมูลลักษณะใดลงในสัญญากู้ยืมเงิน

คู่สัญญาไม่ควรรระบุ/กำหนดข้อตกลงที่ขัดต่อกฎหมายการห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราซึ่งให้ความคุ้มครองแก่ผู้กู้เป็นสำคัญ เช่น

  • ห้ามเรียกอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) เกินร้อยละ 15 ต่อปี
  • ห้ามอำพรางการให้กู้ยืมเงิน/กำหนดข้อความอันเป็นเท็จเพื่อปิดบังการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา เช่น การระบุจำนวนเงินที่กู้ยืมลงในสัญญาที่สูงกว่าจำนวนเงินที่ผู้กู้ได้รับไปจริง การระบุอัตราดอกเบี้ยลงในสัญญาที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ผู้กู้ต้องรับภาระ/จ่ายจริง
  • ห้ามเรียกรับเอาประโยชน์อย่างอื่นที่มากเกินส่วนอันสมควรจากการกู้ยืมเงิน เช่น การตกลงให้ผู้กู้มีสิทธิริบทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงมากกว่าจำนวนหนี้อย่างไม่ได้สัดส่วน

ในกรณีที่คู่สัญญาจัดทำสัญญากู้ยืมเงินที่มีลักษณะขัดต่อกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ผู้ให้กู้อาจมีความรับผิดทางอาญาตามกฎหมาย


จำเป็นจะต้องดำเนินการอย่างไรก่อนทำสัญญากู้ยืมเงิน

คู่สัญญาไม่จำเป็นจะต้องดำเนินการใดๆ ก่อนตามกฎหมายในการจัดทำสัญญากู้ยืมเงิน

อย่างไรก็ดี ก่อนการจัดทำสัญญากู้ยืมเงิน ผู้ให้กู้อาจมีข้อพิจารณาเกี่ยวกับความเสี่ยงในการให้กู้ยืมเงินแก่ผู้กู้ เช่น

  • ความน่าเชื่อถือและสถานะทางการเงิน
  • ประวัติการชำระหนี้ (เช่น การตรวจข้อมูลเครดิตจากเครดิตบูโร/Credit Bureau)
  • หลักประกันการชำระหนี้
  • การจัดทำหลักฐานการกู้ยืมเงินที่ละเอียด รัดกุม และครบถ้วน (เช่น สัญญากู้ยืมเงิน)

ผู้ใช้งานสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คู่มือทางกฎหมาย: ข้อควรพิจารณาสำหรับผู้ให้กู้ในการให้กู้ยืมเงิน


สัญญากู้ยืมเงินเกี่ยวข้องกับใครบ้าง

บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำสัญญากู้ยืมเงิน ได้แก่

  • ผู้ให้กู้ (เช่น นักลงทุน นายทุน บุคคลทั่วไปที่นำเงินมาให้กู้ยืมเงินแก่ผู้กู้) ตัวแทนผู้มีอำนาจของผู้ให้กู้ (เช่น กรรมการ หุ้นส่วนผู้จัดการ) หรือตัวแทนที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการให้กู้ยืมเงิน/ปล่อยสินเชื่อ (เช่น ผู้จัดการ/ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน) ซึ่งเป็นผู้ลงนามในสัญญากู้ยืมเงินในฐานะผู้ให้กู้
  • ผู้กู้ (เช่น ผู้ประกอบธุรกิจ บุคคลทั่วไปที่ต้องการใช้เงินทุน) ตัวแทนผู้มีอำนาจของผู้กู้ (เช่น กรรมการ หุ้นส่วนผู้จัดการ) หรือตัวแทนที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน/จัดหาแหล่งเงินทุน (เช่น ผู้จัดการ/ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน) ซึ่งเป็นผู้ลงนามในสัญญากู้ยืมเงินในฐานะผู้กู้
  • บุคคลภายนอกที่เป็นผู้จัดให้มีหลักประกันการชำระหนี้ของผู้กู้แก่สัญญากู้ยืมเงิน (ถ้ามี) เช่น ผู้ค้ำประกัน ผู้จำนำ ผู้จำนอง


ควรกำหนดระยะเวลาของสัญญากู้ยืมเงิน อย่างไร

คู่สัญญาย่อมสามารถกำหนดระยะเวลาของสัญญากู้ยืมเงิน (เช่น ระยะเวลาการชำระคืนเงินต้น ระยะเวลาการชำระดอกเบี้ย) ได้ตามความต้องการ

อย่างไรก็ดี คู่สัญญาอาจคำนึงถึงปัจจัยที่ต่างๆ เช่น

  • ความเสี่ยงที่ผู้กู้จะผิดนัดชำระหนี้
  • ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้
  • ภาระดอกเบี้ยของผู้กู้ตลอดระยะเวลาของสัญญา


จะต้องทำอย่างไรต่อหลังจากที่ลงนามในสัญญากู้ยืมเงินแล้ว

คู่สัญญาควรจัดทำสัญญากู้ยืมเงินเป็นลายลักษณ์อักษร และให้คู่สัญญาหรือตัวแทนผู้มีอำนาจของคู่สัญญา รวมถึงพยานด้วย (ถ้ามี) ลงนามให้เรียบร้อย

เมื่อจัดทำและลงนามในสัญญากู้ยืมเงินเรียบร้อยแล้ว คู่สัญญาอาจพิจารณาดำเนินการ ดังต่อไปนี้

  • คู่สัญญาอาจจัดทำคู่ฉบับของสัญญาอย่างน้อย 2 ฉบับ เพื่อให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายเก็บไว้ใช้อ้างอิงเป็นหลักฐานได้ฝ่ายละอย่างน้อย 1 ฉบับ
  • คู่สัญญาแต่ละฝ่ายควรขอเอกสารแสดงตัวตนของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งที่ลงนามรับรองสำเนาถูกต้องมาเก็บไว้ประกอบสัญญาฉบับที่ตนเองถือไว้ด้วย เช่น บัตรประจำตัวประชาชน หนังสือเดินทาง หนังสือรับรองและบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล (กรณีนิติบุคคล) รวมถึง หนังสือมอบอำนาจ ในกรณีที่มีการมอบอำนาจ
  • คู่สัญญาอาจพิจารณาแนบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสัญญากู้ยืมเงิน
  • คู่สัญญานำสัญญาที่ลงนามเรียบร้อยแล้วไปชำระอากรแสตมป์ตามอัตรา ระยะเวลา และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด

เมื่อผู้กู้ได้ดำเนินการชำระเงินคืนให้แก่ผู้ให้กู้ตามสัญญากู้ยืมเงิน (เช่น การชำระคืนเงินต้น/ดอกเบี้ย) ผู้ให้กู้อาจดำเนินการออกเอกเอกสาร/หลักฐานการรับเงินให้แก่ผู้กู้ (เช่น ใบสำคัญรับเงิน)


จะต้องแนบหลักฐานหรือเอกสารประกอบสัญญากู้ยืมเงินด้วย หรือไม่

คู่สัญญาอาจพิจารณาแนบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสัญญากู้ยืมเงิน เช่น

  • หลักฐานที่ผู้กู้ได้รับเงินต้นที่กู้ยืม (เช่น ใบสำคัญรับเงิน หลักฐานการโอนเงินของธนาคาร)
  • ตารางกำหนดระยะเวลาการชำระคืนเงินต้นในแต่ละงวด (Repayment Schedule)
  • ตารางกำหนดจำนวนและระยะเวลาการชำระดอกเบี้ย
  • ตารางการคำนวณดอกเบี้ยและ/หรือค่าปรับ


สัญญากู้ยืมเงินจำเป็นจะต้องมีพยานลงนามด้วย หรือไม่

ไม่จำเป็น กฎหมายไม่ได้กำหนดให้สัญญากู้ยืมเงินจำเป็นจะต้องมีพยานลงนามด้วย

อย่างไรก็ดี คู่สัญญาอาจพิจารณาจัดให้มีพยานลงนามในสัญญากู้ยืมเงินตามที่เห็นสมควรด้วยก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ พยานควรเป็นบุคคลผู้มีความสามารถในการทำนิติกรรมอย่างสมบูรณ์ (เช่น ผู้บรรลุนิติภาวะ อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ ไม่เป็นผู้ทุพพลภาพ) และไม่ใช่บุคคลที่มีหน้าที่/ภาระผูกพันตามสัญญากู้ยืมเงิน (เช่น คู่สัญญา)


มีค่าใช้จ่ายใดบ้างที่เกี่ยวข้องในการจัดทำสัญญากู้ยืมเงิน

อากรแสตมป์ คู่สัญญามีหน้าที่นำสัญญากู้ยืมเงินที่ลงนามเรียบร้อยแล้วไปชำระอากรแสตมป์ตามอัตรา ระยะเวลา และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด


คู่สัญญาสามารถกำหนดวิธีการคิดคำนวณดอกเบี้ยอย่างไรได้บ้าง

คู่สัญญาสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยและวิธีคำนวณดอกเบี้ยได้ตามที่คู่สัญญาเห็นสมควร เช่น

  • กำหนดเป็นอัตราคงที่ (Fixed Rate) เช่น ร้อยละ 5 ต่อปีของจำนวนเงินกู้ยืมที่คงเหลือ ร้อยละ 1 ต่อเดือนของจำนวนเงินกู้ยืมที่คงเหลือ
  • กำหนดเป็นอัตราลอยตัว (Floating Rate) อ้างอิงตามอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่คู่สัญญาเห็นสมควรซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น/ลงได้ (เช่น อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่ธนาคารกลาง/ธนาคารพาณิชย์ประกาศใช้)
  • กำหนดเป็นอัตราตามตารางรายการ (Scheduled Rate) เช่น

(ก) อัตราก้าวหน้า (Progressive Rate) ตามขั้นบันไดของจำนวนเงินกู้ยืม (เช่น จำนวนเงินกู้ยืม 1-100,000 บาท ร้อยละ 3 ต่อปี ส่วนที่เกิน 100,001 บาทขั้นไปร้อยละ 5 ต่อปี)
(ข) อัตราล่วงหน้าตามระยะเวลาการกู้ยืมเงิน (เช่น เดือนที่ 1-3 ร้อยละ 3 ต่อปี เดือนที่ 4-6 ร้อยละ 5 ต่อปี เดือนที่ 6 เป็นต้นไป ร้อยละ 7.5 ต่อปี)

ไม่ว่าคู่สัญญาจะเลือกกำหนดตกลงอัตราดอกเบี้ยด้วยลักษณะและ/หรือวิธีการคำนวณอย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยและวิธีคำนวณนั้นเมื่อคิดคำนวณเทียบเป็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) จะต้องไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนดสำหรับการกู้ยืมเงินที่ผู้ให้กู้เป็นบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (เช่น ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์) ทั้งนี้ อัตราที่กฎหมายกำหนดดังกล่าวไม่รวมถึง เบี้ยปรับ (เช่น ดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัด)

ในกรณีที่คู่สัญญาตกลงคิดดอกเบี้ยกันเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ข้อตกลงเกี่ยวกับการคิดดอกเบี้ยที่เกินอัตรานั้นจะไม่สามารถใช้บังคับได้ และผู้ให้กู้ยังอาจมีความรับผิดทางอาญาตามกฎหมายอีกด้วย


หลักประกันการชำระหนี้คืออะไร

หลักประกันการชำระหนี้ คือ การทำสัญญาอีกฉบับหนึ่งซึ่งเป็นสัญญาอุปกรณ์/สัญญาเสริม (เช่น การจำนำ/จำนอง การค้ำประกันโดยบุคคลภายนอก) อ้างอิงกับสัญญาประธาน/สัญญาหลัก (เช่น สัญญากู้ยืมเงิน) เพื่อเป็นหลักประกันในกรณีที่คู่สัญญาปฏิบัติผิดสัญญาประธาน/สัญญาหลัก (เช่น ผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามกำหนด) คู่สัญญาที่เป็นผู้รับหลักประกัน (เช่น ผู้ให้กู้/เจ้าหนี้) สามารถบังคับเอากับหลักประกันได้ตามขอบเขตและเงื่อนไขที่สัญญาอุปกรณ์/สัญญาเสริมนั้นกำหนดและตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • สัญญาจำนำ เช่น การวางสินทรัพย์ (เช่น ทองคำ ของมีค่า ตราสารสำคัญ) ไว้ให้ผู้ให้กู้ยึดถือ
  • สัญญาจำนอง เช่น การจดทะเบียนจำนอง/ตราลงในทะเบียนของอสังหาริมทรัพย์ (เช่น ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง) ให้ผู้ให้กู้เป็นผู้รับจำนอง
  • สัญญาค้ำประกัน เช่น ผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตกลงจะชำระหนี้ให้แก่ผู้ให้กู้หากผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระหนี้


ผู้ให้กู้ควรทำอย่างไร เมื่อผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้

ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้ (เช่น ไม่ชำระเงินตามกำหนดระยะเวลา) ผู้ให้กู้อาจพิจารณาดำเนินการ ดังต่อไปนี้

  • ดำเนินการติดตามทวงถามหนี้ เช่น จัดทำหนังสือขอรับชำระเงิน/ใบแจ้งหนี้ (Invoice) หนังสือทวงถามหนี้ ตามลำดับ
  • บังคับหลักประกัน (ถ้ามี) ในกรณีที่ผู้กู้ได้จัดให้มีหลักประกันการชำระหนี้ เช่น จัดทำหนังสือบอกกล่าวให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้กรณีลูกหนี้ผิดนัด
  • ให้ผู้กู้จัดทำหนังสือรับสภาพหนี้ เนื่องจากจะทำให้หนี้ดังกล่าวเริ่มนับอายุความใหม่ ซึ่งส่งผลให้ผู้ให้กู้มีระยะเวลาใช้สิทธิบังคับชำระหนี้ตามกฎหมายเพิ่มขึ้น
  • ดำเนินการตามกฎหมาย/ทางศาล เช่น แต่งตั้งทนายความติดตามทวงถามหนี้ ฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมาย

ผู้ใช้งานสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คู่มือทางกฎหมาย: การทวงหนี้จากลูกหนี้อย่างถูกกฎหมายและมีประสิทธิภาพ


ต้องระบุข้อมูลสำคัญใดบ้างลงในสัญญากู้ยืมเงิน

คู่สัญญาควรระบุรายละเอียดและข้อความสำคัญในสัญญากู้ยืมเงิน ดังต่อไปนี้

  • คู่สัญญา เช่น ชื่อ ที่อยู่ เพื่อการอ้างอิงที่ถูกต้อง
  • เงินต้น เช่น จำนวนเงิน วันที่ผู้กู้ได้รับเงินต้น
  • ดอกเบี้ย เช่น อัตราดอกเบี้ย กำหนดระยะเวลาการชำระดอกเบี้ย
  • กำหนดระยะเวลาการชำระคืนเงินต้น เช่น วันที่ต้องชำระครั้งเดียวทั้งจำนวน ระยะเวลาการทยอยแบ่ง/ผ่อนชำระคืนเป็นงวดๆ
  • ข้อตกลงอื่นๆ (ถ้ามี) เช่น หลักประกันการชำระหนี้


กฎหมายใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับสัญญากู้ยืมเงิน

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำสัญญากู้ยืมเงินมี ดังต่อไปนี้


ความช่วยเหลือจากทนายความ

คุณสามารถเลือกที่จะปรึกษาทนายความได้ในกรณีที่คุณต้องการความช่วยเหลือ

ทนายความสามารถช่วยคุณได้โดยทำการตอบคำถามของคุณหรือให้ความช่วยเหลือในกระบวนการต่าง ๆ จะมีการเสนอตัวเลือกดังกล่าวไว้ให้คุณในตอนท้ายของเอกสาร


แก้ไขแบบฟอร์มได้อย่างไร

คุณกรอกแบบสอบถามสำหรับป้อนข้อมูลแล้วจะเห็นได้ว่าระบบของเราจะค่อย ๆ สร้างเอกสารขึ้นเองโดยอัตโนมัติตามคำตอบที่คุณกรอกเข้าไป

ในตอนสุดท้าย คุณจะได้รับเอกสารในรูปแบบ Word และ PDF คุณสามารถแก้ไขและนำเอกสารไปใช้อีกได้

กรอกแบบฟอร์ม