สารบัญ
ในการดำเนินธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการดำเนินธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ และไม่ว่าจะดำเนินธุรกิจในกลุ่มประเภทกิจการหรือในกลุ่มอุตสาหกรรมใด สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ปัจจัยอื่นที่ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องพิจารณาในการเริ่มดำเนินธุรกิจอย่างหนึ่งก็คือรูปแบบองค์กรธุรกิจที่จะใช้ในการดำเนินธุรกิจนั้นๆ (เช่น บุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วน หรือบริษัท) โดยแต่ละรูปแบบก็มีลักษณะ ข้อดี ข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป เช่น
ผู้ใช้งานอาจศึกษาลักษณะ ข้อดี ข้อจำกัดของแต่ละรูปแบบองค์กรธุรกิจเพิ่มเติมได้จาก คู่มือทางกฎหมาย: รูปแบบองค์กรธุรกิจแบบใดที่เหมาะสมกับลักษณะกิจการของท่านที่สุด (เช่น บุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วน บริษัท) บนเว็บไซต์ของเรา
สาเหตุที่ผู้ประกอบธุรกิจเลือกจัดตั้งบริษัทจำกัดแทนการเลือกใช้รูปแบบองค์กรธุรกิจรูปแบบอื่น อาจด้วยเนื่องจาก
ผู้ถือหุ้นอาจโอนหุ้นให้แก่บุคคลอื่นเพื่อขายหรือเปลี่ยนแปลงความเป็นเจ้าของกิจการได้โดยการจัดทำ สัญญาโอนหุ้นบริษัท และดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด
ในการจัดตั้งบริษัทจำกัด ผู้ประกอบธุรกิจอาจมีข้อพิจารณาในการศึกษาข้อมูล ตัดสินใจ และดำเนินการ ดังต่อไปนี้
ในการตั้งชื่อบริษัท ผู้จะเป็นเจ้าของบริษัทอาจศึกษาข้อมูลและตั้งชื่อบริษัทได้ตามที่เจ้าของบริษัทต้องการ โดยที่อาจตั้งชื่อบริษัทให้สอดคล้องกับชื่อของกิจการหรือชื่อของธุรกิจเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนของคู่ค้าและลูกค้าของกิจการหรือไม่ก็ได้ อย่างไรก็ดี ชื่อของบริษัทจะต้องสอดคล้องตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการตั้งชื่อนิติบุคคล เช่น
เมื่อผู้ประกอบธุรกิจตัดสินใจและเลือกชื่อที่จะใช้เป็นชื่อของบริษัทได้แล้ว ผู้เริ่มก่อการ ผู้ที่จะเป็นกรรมการบริษัท หรือ ผู้ถือหุ้น (เจ้าของบริษัท) อาจดำเนินการตรวจสอบชื่อนิติบุคคลและจองชื่อนิติบุคคลผ่านระบบฐานข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อใช้ในการดำเนินการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทต่อไป
อนึ่ง ชื่อที่ได้รับจองไว้นั้นจะต้องมีการยื่นจดทะเบียนใช้ชื่อที่จองภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับจอง
ผู้ใช้งานอาจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อจำกัดในการใช้ชื่อบริษัทได้จาก คำแนะนำในการตรวจสอบและจองชื่อนิติบุคคลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางว่าด้วยการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัท
สถานที่ตั้งของกิจการถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะการประกอบธุรกิจทางการค้า (เช่น ขายสินค้าและ/หรือบริการ) นอกจากสถานที่ตั้งของกิจการจะเป็นยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของกิจการแล้ว (เช่น การสัญจรของผู้คน ความสะดวกในการเข้าถึง ทำเลที่ตั้ง ความสามารถในการประกอบการค้า) สถานที่ตั้งของกิจการที่จะใช้จดทะเบียนบริษัทนั้นก็จะถือเป็นสำนักงานแห่งใหญ่ของบริษัทที่จดทะเบียนนั้นด้วย ซึ่งสำนักงานแห่งใหญ่นี้ก็คือที่อยู่ของบริษัทนั่นเอง กล่าวคือเป็นที่อยู่สำหรับการรับ-ส่งเอกสารสำคัญ เอกสารคำบอกกล่าวทางกฎหมายต่างๆ
นอกจากนี้ ในกรณีที่ธุรกิจมีการประกอบกิจการหลายแห่ง อาจพิจารณาจดทะเบียนสถานประกอบกิจการเหล่านั้นเป็นสาขาของบริษัทด้วย
เมื่อเจ้าของธุรกิจได้ชื่อบริษัทและสถานที่ประกอบธุรกิจแล้ว สิ่งสำคัญลำดับต่อไปที่จะต้องพิจารณาคือการพิจารณากำหนดและจัดทำหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทและนำหนังสือดังกล่าวไปจดทะเบียน
โดยที่ หนังสือบริคณห์สนธิ คือเอกสารที่แสดงรายละเอียดสำคัญของบริษัท ดังต่อไปนี้
ผู้ใช้งานสามารถศึกษาแนวทางการกำหนดวัตถุประสงค์ของบริษัทได้ที่ หลักเกณฑ์การกำหนดวัตถุประสงค์ห้างหุ้นส่วนและบริษัทของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ข้อบังคับบริษัท คือ กฎเกณฑ์หรือระเบียบที่ผู้ถือหุ้น ผู้เป็นเจ้าของบริษัทได้กำหนดตกลงกันเกี่ยวกับการดำเนินการสำคัญภายในต่างๆ ของบริษัท เช่น
ผู้ก่อการและ/หรือผู้ถือหุ้นควรจัดทำ ข้อบังคับบริษัท และนำไปใช้ประกอบในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เพื่อเป็นกฎเกณฑ์และสร้างความเข้าใจถึงสิทธิ หน้าที่ และความสัมพันธ์ระหว่างผู้ถือหุ้นกับบริษัท ระหว่างผู้ถือหุ้นกับผู้ถือหุ้นด้วยกันเอง หรือระหว่างผู้ถือหุ้นกับกรรมการ และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงข้อพิพาทต่างๆ แม้กฎหมายไม่ได้บังคับให้บริษัทต้องจัดทำข้อบังคับบริษัทแต่อย่างใด
ผู้ก่อการและ/หรือผู้ถือหุ้นอาจเลือกใช้แบบ ข้อบังคับบริษัท ในการจัดทำข้อบังคับของบริษัท ในกรณีที่ต้องการตกลงและใช้บังคับสิทธิ หน้าที่ และความสัมพันธ์ต่างๆ ให้แตกต่างไปจากกฎหมายห้างหุ้นส่วนและบริษัทประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เมื่อหุ้นของบริษัทมีผู้จองซื้อหุ้นครบทั้งหมดแล้ว กฎหมายกำหนดให้มีการจัดประชุมจัดตั้งบริษัทขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อให้ผู้เริ่มก่อการและ/หรือผู้ถือหุ้นพิจารณากำหนดรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับบริษัท เช่น
ผู้ใช้งานอาจจัดทำ รายงานการประชุมจัดตั้งบริษัท เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้การประชุมจัดตั้งบริษัทมีหลักฐานเป็นหนังสือ และเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท
เมื่อในที่ประชุมจัดตั้งบริษัทได้มีมติกำหนดการชำระค่าหุ้นครั้งแรกแล้ว กรรมการบริษัทที่ได้รับแต่งตั้งนั้นจะต้องดำเนินการเรียกชำระค่าหุ้นครั้งแรกจากผู้ถือหุ้นตามมติของที่ประชุมที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งในที่ประชุมอาจพิจารณากำหนดให้ผู้ถือหุ้นชำระค่าหุ้นครั้งแรกเต็มมูลค่าหุ้นเลยหรือให้ชำระเพียงบางส่วนแล้วจึงมีการเรียกชำระในภายหลังเมื่อบริษัทต้องการสภาพคล่องทางการเงินก็ได้ อย่างไรก็ดี ในกรณีที่มีการกำหนดให้ชำระเพียงบางส่วน ค่าหุ้นที่เรียกให้ชำระครั้งแรกนั้นจะต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของมูลค่าหุ้น
เมื่อบริษัทได้รับชำระค่าหุ้นครบถ้วนถูกต้องตามจำนวนที่เรียกเก็บแล้ว กรรมการบริษัทอาจออก ใบสำคัญรับเงิน ให้แก่ผู้ถือหุ้นเพื่อเป็นหลักฐานแห่งการรับชำระค่าหุ้นนั้นและเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทด้วย
ในการเสนอขายหุ้นแก่ผู้ลงทุนที่สนใจจะเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ผู้ประกอบธุรกิจอาจจัดทำ หนังสือชี้ชวนให้ซื้อหุ้น เพื่อแสดงรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและการดำเนินการของบริษัท รวมถึงให้ผู้ลงทุนที่สนใจจัดทำ หนังสือจองซื้อหุ้นบริษัท เพื่อแสดงเจตนาที่จะซื้อหุ้นของบริษัทที่เสนอขายนั้นๆ
เมื่อได้ดำเนินกระบวนการต่างๆ ข้างต้นครบถ้วนแล้ว ผู้เริ่มก่อการหรือกรรมการบริษัทอาจดำเนินการยื่นคำขอจดทะเบียนกับสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ภายในกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ดังต่อไปนี้
(ก) การจองชื่อนิติบุคคล
(ข) การจัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ (และจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ ในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนในวันเดียวกันกับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท)
(ค) ผู้เริ่มก่อการจัดให้มีการจองซื้อหุ้นจนครบถ้วน
(ง) การประชุมจัดตั้งบริษัท
(จ) การชำระค่าหุ้นครั้งแรก
(ฉ) ยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท (และจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ ในกรณีที่จดทะเบียนในวันเดียวกัน)
โดยที่ ระยะเวลาระหว่าง (ก) ถึง (ข) จะต้องไม่เกิน 30 วัน ระยะเวลาระหว่าง (ง) ถึง (ฉ) จะต้องไม่เกิน 3 เดือน และระยะเวลาระหว่าง (ข) ถึง (ฉ) จะต้องไม่เกิน 3 ปี อย่างไรก็ดี ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นและบริษัทมีความพร้อมในการดำเนินการต่างๆ ก็สามารถดำเนินการ (ข) ถึง (ฉ) ภายในวันเดียวกันก็ได้
ทั้งนี้ เมื่อได้ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทและนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนไว้เรียบร้อยแล้ว บริษัทจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลแยกออกต่างหากจากผู้ถือหุ้น
อนึ่ง ผู้ประกอบธุรกิจที่มีความประสงค์จะจัดตั้งบริษัท สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท (เช่น ค่าธรรมเนียม เอกสารประกอบคำขอ สถานที่รับจดทะเบียน กรอบระยะเวลา) ได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ในกรณีที่ ผู้เริ่มก่อการหรือกรรมการบริษัทไม่สะดวกไปดำเนินการจดทะเบียนที่สำนักทะเบียนด้วยตนเอง ผู้เริ่มก่อการหรือกรรมการบริษัทอาจจัดทำ หนังสือมอบอำนาจ เพื่อมอบหมายให้บุคคลอื่นไปดำเนินการจดทะเบียนแทนได้ (เช่น ทนายความ) ในกรณีเช่นนี้จะต้องมีการรับรองลายมือชื่อตามแบบและหลักเกณฑ์ที่สำนักทะเบียนกำหนด (เช่น ทนายความ)
เมื่อบริษัทได้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายแล้วจะถือว่าเป็นอีกบุคคลหนึ่ง จึงอาจต้องมีการดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจหรือกิจการนั้นๆ โดยเฉพาะ เช่น
จากที่กล่าวข้างต้น การดำเนินการจัดตั้งบริษัทไม่ใช่กระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อนแต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความละเอียดความรอบคอบ และความเข้าใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบธุรกิจอาจปรึกษาทนายความ ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่แน่ใจในกระบวนการจัดตั้งบริษัท