ข้อควรพิจารณาในการซื้อหรือเซ้งกิจการ/ธุรกิจ

ปรับปรุงล่าสุด ปรับปรุงล่าสุด6 กันยายน 2021
คะแนน คะแนน 4.2 - 8 คะแนนโหวต

การซื้อ/เซ้งกิจการ คืออะไร

การซื้อ/เซ้งต่อกิจการ คือการที่ผู้ซื้อกิจการได้มาซึ่งอำนาจควบคุม หรือได้มาซึ่งความเป็นเจ้าของในกิจการใดกิจการหนึ่ง โดยผู้ซื้อกิจการจะเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจในการดำเนินงานประกอบกิจการ/ธุรกิจ และรับผลประโยชน์ (เช่น ผลกำไร) รวมถึงภาระความเสี่ยงจากการดำเนินงานด้วย (เช่น ค่าใช้จ่ายต่างๆ สภาวะขาดทุน) โดย กิจการหรือธุรกิจ เช่น

  • ร้านอาหารและ/หรือเครื่องดื่ม
  • บริการซัก อบ รีด
  • โรงแรม
  • ธุรกิจนำเที่ยวและท่องเที่ยว
  • บริการล้าง และดูแลรถยนต์
  • ร้านนวดสปา
  • ขนส่ง/ไปรษณีย์
  • สถานพยาบาล/คลินิก
  • ร้านค้าต่างๆ

ทำไมต้องซื้อ/เซ้งกิจการ

สำหรับสาเหตุในการซื้อ/เซ้งต่อกิจการใดกิจการหนึ่งต่อจากผู้อื่น ผู้ซื้อกิจการแต่ละรายอาจมีเหตุผลและสาเหตุที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของตัวผู้ซื้อกิจการในการซื้อ/เซ้งต่อกิจการนั้น โดยอาจพิจารณาถึงสาเหตุที่ผู้ซื้อกิจการเลือกที่จะซื้อ/เซ้งต่อกิจการตามความต้องการ/วัตถุประสงค์ได้ ดังต่อไปนี้

  • ต้องการได้มาซึ่งความรู้จัก ความนิยม และฐานลูกค้าเดิมของกิจการ/ธุรกิจ
  • ต้องการได้มาซึ่งสูตร ระบบ กรรมวิธี และองค์ความรู้ต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจ (เช่น สูตรอาหาร เทคนิคและวิธีการนวดสปา) โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาพัฒนา ค้นคว้า ศึกษา และทดลองซึ่งสูตร ระบบ กรรมวิธี และองค์ความรู้ขึ้นมาใหม่ด้วยตนเอง
  • ต้องการได้มาซึ่งทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการ (เช่น วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ และสินค้าต่างๆ รวมถึง อาคารสถานที่) โดยที่ไม่ต้องจัดการหาและจัดซื้อทรัพย์สินดังกล่าวใหม่ และในบางกรณีอาจได้ทรัพย์สินในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว
  • ต้องการได้มาซึ่งบุคลากรที่มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ ความชำนาญที่เหมาะสมกับกิจการที่ซื้อ/เซ้งต่อมา (เช่น พนักงาน หรือลูกจ้างเดิม) โดยที่ไม่ต้องดำเนินการสรรหาและฝึกอบรมพนักงานด้วยตนเอง
  • ต้องการกำจัดคู่แข่งทางธุรกิจ และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้กับตนเอง

ในกรณีที่การซื้อหรือเซ้งกิจการ/ธุรกิจ ไม่ว่าโดยการซื้อหุ้นของกิจการ หรือการซื้อสินทรัพย์สำคัญ หากมีลักษณะตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า ผู้ซื้อกิจการอาจจะต้องดำเนินการแจ้งผลการรวมธุรกิจ หรือขออนุญาตรวมธุรกิจ แล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้ากำหนด

ซื้อ/เซ้งกิจการ ทำอย่างไร

ในกรณีที่ผู้ซื้อกิจการมีความต้องการที่จะซื้อ/เซ้งต่อกิจการ โดยทั่วไปผู้ซื้อกิจการอาจมีทางเลือกหลักในการได้มาซึ่งกิจการ 2 วิธีด้วยกัน ดังต่อไปนี้

(1) การซื้อหุ้นของกิจการ เช่น การซื้อหุ้นบริษัทผ่านสัญญาโอนหุ้นบริษัท หรือการเข้าเป็นหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนที่ประกอบกิจการนั้นๆ
(2) การซื้อสินทรัพย์สำคัญในการดำเนินกิจการ เช่น การซื้อวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ สินค้าของกิจการ และอาคารสถานที่ประกอบกิจการ รวมถึงสิทธิการเช่าสถานที่ประกอบกิจการต่อจากผู้ขายกิจการ ผ่านสัญญาซื้อขายกิจการ

ในแต่ละวิธีการต่างก็มีลักษณะ ข้อดี และข้อจำกัดที่แตกต่างกันซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในแต่ละกรณี และปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทกิจการ ขนาดของกิจการ ระยะเวลาในการได้มาซึ่งกิจการ เงินทุนที่ใช้ในการได้มาซึ่งกิจการ ความต้องการสินทรัพย์ต่างๆ ของกิจการ การขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ (ถ้ามี) โดยในคู่มือทางกฎหมายฉบับนี้จะมุ่งเน้นอธิบายถึงข้อพิจารณาในการได้มาซึ่งกิจการโดยการซื้อสินทรัพย์สำคัญในการดำเนินกิจการผ่านสัญญาซื้อขายกิจการเป็นสำคัญ

ผู้ใช้งานอาจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อดีและข้อจำกัดในการได้มาซึ่งกิจการโดยการซื้อหุ้นของกิจการ และการซื้อสินทรัพย์สำคัญในการดำเนินกิจการ ได้ที่ คู่มือทางกฎหมาย: การซื้อขายหรือโอนกิจการ สามารถใช้วิธีการใดได้บ้าง และวิธีใดดีที่สุด บนเว็บไซต์ของเรา

(1) สาเหตุการขาย/เซ้งกิจการ

สาเหตุที่ผู้ขายกิจการต้องขาย/เซ้งกิจการนั้นอาจมีสาเหตุได้หลากหลายเช่นกัน โดยอาจเป็นสาเหตุที่ตัวกิจการเองหรือจากปัจจัยภายนอกก็ได้ ผู้ซื้อกิจการที่มีความประสงค์จะซื้อ/เซ้งต่อกิจการอาจต้องทำการสืบหาสาเหตุที่ผู้ขายกิจการนั้น ดังต่อไปนี้

  • การสืบค้นเบื้องต้น เช่น สอบถามสาเหตุโดยตรงจากผู้ขายกิจการนั้น
  • การสืบค้นด้วยตนเอง เช่น ตรวจสอบ สำรวจสาเหตุด้วยตนเอง โดยอาจตรวจสอบ สำรวจเพิ่มเติมจากข้อมูลที่ได้รับจากผู้ขายกิจการจากการสืบค้นเบื้องต้นว่ามีความเท็จจริง หรือไม่ อย่างไร

เมื่อผู้ซื้อกิจการได้สืบค้นจนทราบสาเหตุที่ผู้ขายกิจการต้องขาย/เซ้งกิจการนั้น ผู้ซื้อกิจการอาจมีข้อพิจารณาต่อไปว่า ผู้ซื้อกิจการสามารถยอมรับกับสาเหตุที่ผู้ขายกิจการต้องขาย/เซ้งกิจการนั้นได้ หรือไม่ เช่น สาเหตุเกิดจากการประสบปัญหาขาดทุน ค่าเช่าแพง ไม่มีพนักงานทำงาน โดยหากผู้ซื้อกิจการพิจารณาแล้วว่าตนสามารถรับมือ และสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ก็อาจพิจารณาที่จะซื้อ/เซ้งต่อกิจการนั้นต่อไป

(2) ทรัพย์สิน

เมื่อผู้ซื้อกิจการตัดสินใจว่าจะดำเนินการซื้อ/เซ้งต่อกิจการนั้นต่อ สิ่งที่ผู้ซื้อกิจการควรพิจารณาต่อไปก็คือ ผู้ซื้อกิจการต้องการจะซื้อทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการใดบ้าง เช่น วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ วัตถุดิบ และสินค้าต่างๆ รวมถึงอาคาร สถานที่ สำนักงาน สิ่งตกแต่ง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ โดย ผู้ซื้อกิจการอาจมีข้อพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินที่จะซื้อ/เซ้งต่อ ดังต่อไปนี้

  • ความต้องการและความจำเป็นในการใช้งานในกิจการ เช่น ทรัพย์สินดังกล่าวจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการประกอบกิจการได้ หรือไม่ อย่างไร
  • สภาพ ความสามารถในการนำมาใช้ประโยชน์ เช่น ความชำรุด บกพร่อง อายุการใช้งาน/การบริโภค สามารถใช้งานได้ตามปกติและมีประสิทธิภาพ หรือไม่ เนื่องจากโดยทั่วไปมักเป็นทรัพย์สินที่ผ่านการใช้งานแล้ว
  • ราคาทรัพย์สิน เช่น ราคาที่ผู้ขายกิจการเสนอขาย เปรียบเทียบกับราคาตลาดทั่วไปของทรัพย์สินที่มีลักษณะ สภาพ และอายุการใช้งานเดียวกันว่าสมเหตุสมผล หรือไม่

(3) ชื่อและเครื่องหมายการค้า

นอกจากทรัพย์สินที่จับต้องได้ตามที่ได้อธิบายไว้ในข้อก่อนหน้าแล้ว ทรัพย์สินอีกอย่างหนึ่งที่ผู้ซื้อกิจการควรมีข้อพิจารณาก็คือทรัพย์สินทางปัญญา โดยทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ/เซ้งต่อกิจการที่สำคัญก็คือ ชื่อและเครื่องหมายการค้า เช่น ชื่อร้าน ชื่อกิจการ โลโก ตรา สัญลักษณ์ของกิจการ โดยที่ชื่อและเครื่องหมายการค้าล้วนเป็นสิ่งที่แสดงถึงความรับรู้ของลูกค้าในคุณภาพ ชื่อเสียง สินค้า และบริการของกิจการ และเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกิจการ สินค้า และบริการ กับลูกค้า โดย ผู้ซื้อกิจการอาจมีข้อพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ เกี่ยวกับชื่อและเครื่องหมายการค้า ดังต่อไปนี้

  • ชื่อเสียง เช่น ชื่อและเครื่องหมายการค้ามีภาพลักษณ์อย่างไร ตรงกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของกิจการ หรือไม่ มีชื่อเสียงมากน้อยเพียงใด รวมถึงการมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี หรือได้รับคำวิจารณ์จากลูกค้าในทางลบ หรือไม่ อย่างไร
  • ฐานลูกค้าเดิม เช่น ชื่อและเครื่องหมายการค้ามีฐานลูกค้าเดิม (เช่น ลูกค้าประจำ) มากน้อยเพียงใด
  • ราคา เช่น ราคาที่ผู้ขายกิจการเสนอขาย เมื่อเปรียบเทียบกับชื่อเสียง ฐานลูกค้า
  • การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า เช่น ชื่อและเครื่องหมายการค้าได้มีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ หรือไม่ หากมีคู่สัญญาอาจมีข้อพิจารณาเพิ่มเติมเรื่องการจดทะเบียนโอนสิทธิความเป็นเจ้าของในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวด้วย รวมถึงการรับผิดชอบค่าธรรมเนียมราชการในการดำเนินการทางทะเบียนดังกล่าว

คู่สัญญาสามารถตกลงเงื่อนไขรายละเอียดเกี่ยวกับการโอนสิทธิในชื่อและเครื่องหมายการค้าของกิจการได้ในภายสัญญาซื้อขายกิจการ หรืออาจจัดทำสัญญาโอนเครื่องหมายการค้าแยกต่างหากอีกฉบับโดยเฉพาะก็ได้

(4) ทำเลของกิจการ

ทำเลหรือสถานที่ตั้งของกิจการเป็นปัจจัยสำคัญในกรณีการประกอบกิจการที่ต้องมีหน้าร้าน เนื่องจากความถี่ในการสัญจรผ่านของลูกค้า ความสะดวกในการเข้าถึง การมองเห็นกิจการ และที่จอดรถ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อจำนวนลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้า หรือใช้บริการของกิจการ ดังนั้น ทำเลหรือสถานที่ตั้งของกิจการจึงเป็นอีกข้อพิจารณาที่สำคัญในการซื้อ/เซ้งต่อกิจการ โดยผู้ซื้อกิจการอาจมีข้อพิจารณาเกี่ยวกับทำเลหรือสถานที่ตั้งของกิจการ ดังต่อไปนี้

  • การสัญจร เช่น ทำเลหรือสถานที่ตั้งของกิจการมีการสัญจรของผู้คน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของกิจการมากน้อยเพียงใด ความสะดวกในการเข้าถึงกิจการ
  • ที่จอดรถ เช่น ในกรณีที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของกิจการเป็นผู้ใช้รถยนต์ ทำเลหรือสถานที่ตั้งของกิจการมีที่จอดรถ หรือสถานที่สำหรับจอดรถในบริเวณใกล้เคียง หรือไม่ รวมถึงมีความสะดวกในการจอดรถ หรือไม่ โดยข้อพิจารณานี้อาจไม่สามารถใช้ได้ในกรณีที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของกิจการเป็นผู้คนเดินเท้า
  • การมองเห็น เช่น ด้านหน้าของกิจการ หน้าร้าน สามารถมองเห็นได้ง่ายและโดดเด่น หรือไม่ เนื่องจากจะช่วยในการประชาสัมพันธ์ โฆษณากิจการทางอ้อม รวมถึง ทำเลหรือสถานที่ตั้งของกิจการที่มองเห็นได้ง่ายยังช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาและเข้าถึงกิจการได้ง่ายอีกด้วย
  • สภาพของกิจการ เช่น สภาพด้านหน้าอาคาร หน้าร้าน สถานที่ สำนักงาน สิ่งตกแต่ง ป้ายร้าน ป้ายกิจการ ภายในกิจการ และสภาพของสิ่งปลูกสร้าง สิ่งเหล่านี้ล้วนถือเป็นหน้าเป็นตาของกิจการ หากมีสภาพ เก่า ชำรุด ทรุดโทรม อาจทำให้ลูกค้าตัดสินใจไปซื้อสินค้า หรือใช้บริการกับกิจการหรือธุรกิจอื่นที่อยู่บริเวณใกล้เคียง และทำให้กิจการเสียโอกาสในการขายสินค้า หรือให้บริการ
  • ราคา เช่น ค่าเช่าในกรณีการเช่า หรือราคาซื้อขายในกรณีการซื้อขาดซึ่งอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประกอบกิจการนั้น โดยอาจเปรียบเทียบกับราคาตลาด ไม่ว่า ค่าเช่า หรือราคาขายกับอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะใกล้เคียงกันในบริเวณดังกล่าว

ในกรณีการเช่าอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง นอกจากสัญญาซื้อขายกิจการแล้ว ผู้ซื้อกิจการยังควรจัดทำสัญญาเช่าอาคาร/พื้นที่พาณิชย์ ในกรณีที่ผู้ซื้อกิจการได้ดำเนินการตกลงเช่ากับเจ้าของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างโดยตรง หรือสัญญาเช่าช่วง ในกรณีที่ผู้ซื้อกิจการได้ดำเนินการตกลงเช่าอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างต่อจากผู้ขายกิจการ

(5) สูตรและความลับทางการค้า

นอกจากทรัพย์สินที่จับต้องได้ตามที่ได้อธิบายไว้ในข้อก่อนหน้าแล้ว ทรัพย์สินอีกอย่างหนึ่งที่ผู้ซื้อกิจการควรมีข้อพิจารณาก็คือทรัพย์สินทางปัญญา โดยทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ/เซ้งต่อกิจการที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งนอกจากชื่อและเครื่องหมายการค้า ก็คือ ความลับทางการค้า เช่น สูตรอาหาร ระบบ กรรมวิธี เทคนิค และองค์ความรู้ต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจและประกอบกิจการ รวมถึงสิทธิบัตรต่างๆ เช่น สิทธิบัตรผลิตภัณฑ์/สินค้า สิทธิบัตรกรรมวิธี/กระบวนการผลิต ในกรณีที่มีการจดทะเบียนสิทธิบัตรไว้ โดยผู้ซื้อกิจการอาจมีข้อพิจารณาเกี่ยวกับความลับทางการค้าและ/หรือสิทธิบัตรในการประกอบกิจการ ดังต่อไปนี้

  • สูตรและความลับทางการค้าและ/หรือสิทธิบัตรที่จะได้รับ เช่น ผู้ซื้อกิจการจะได้รับถ่ายทอดองค์ความรู้ สูตร และความลับทางการค้า/สิทธิบัตรใดบ้าง รวมและไม่รวมสิ่งใดบ้าง
  • กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้ เช่น ผู้ขายกิจการจะจัดให้มีการสอนงาน หรือฝึกอบรมเกี่ยวกับองค์ความรู้ สูตร และความลับทางการค้า/สิทธิบัตรของกิจการให้อย่างไรบ้าง ระยะเวลาเท่าใด มีคู่มือ หรือมาตรฐานการปฏิบัติงานให้ หรือไม่ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือ และแนะนำในการประกอบธุรกิจ (Support) ภายหลังจากที่ได้ซื้อ/เซ้งต่อกิจการไปแล้ว หรือไม่

คู่สัญญาสามารถตกลงเงื่อนไขรายละเอียดเกี่ยวกับการโอนสิทธิบัตรของกิจการได้ในภายสัญญาซื้อขายกิจการ หรืออาจจัดทำสัญญาโอนสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตรแยกต่างหากอีกฉบับโดยเฉพาะก็ได้

(6) บุคลากร

บุคลากรของกิจการ เช่น พนักงาน หรือลูกจ้างเดิมของกิจการซึ่งมีความรู้ ความสามารถ ความชำนาญในการทำงานหรือดำเนินกิจการอยู่แล้วโดยที่ไม่ต้องดำเนินการจัดหา หรือดำเนินการสอนงานใหม่ให้แก่พนักงาน หรือลูกจ้าง โดยผู้ซื้อกิจการอาจมีข้อตกลงกับผู้ขายกิจการในการได้มาซึ่งบุคลากรเดิมของกิจการในการซื้อ/เซ้งต่อกิจการนั้นด้วย ในกรณีเช่นนี้มีข้อพิจารณาเกี่ยวกับบุคลากรของกิจการ ดังต่อไปนี้

  • บุคลากรที่ได้มา เช่น พนักงานหรือลูกจ้างคนใดบ้าง ในกรณีที่มีการได้มาซึ่งบุคลากรเดิมของกิจการย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงนายจ้าง กล่าวคือ ผู้ซื้อกิจการจะเป็นนายจ้างคนใหม่ของพนักงาน หรือลูกจ้างนั้น ดังนั้น ในการเปลี่ยนแปลงนายจ้างต้องได้รับความยินยอมจากพนักงาน หรือลูกจ้างคนนั้นด้วย
  • การเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน ผู้ซื้อกิจการอาจจะต้องดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนของพนักงานหรือลูกจ้างด้วย เช่น การขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกับสำนักงานประกันสังคม
  • เงื่อนไขการจ้าง เช่น ผู้ซื้อกิจการอาจเจรจาตกลงกับพนักงานหรือลูกจ้างถึงเงื่อนไขการจ้าง (เช่น ค่าตอบแทน วันและเวลาทำงาน สวัสดิการต่างๆ)

ในกรณีการได้มาซึ่งบุคลากรเดิมของกิจการ นอกจากสัญญาซื้อขายกิจการแล้ว ผู้ซื้อกิจการยังควรจัดทำสัญญาจ้างแรงงานกับพนักงานหรือลูกจ้างฉบับใหม่ด้วย อย่างไรก็ดี ในกรณีเช่นนี้กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนดให้นายจ้างใหม่ต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่อันเกี่ยวกับลูกจ้างที่มีอยู่กับนายจ้างเดิมนั้นไปทุกประการ

(7) การค้าแข่ง

ในการจัดทำสัญญาซื้อขายกิจการ ผู้ซื้อกิจการและผู้ขายกิจการอาจมีข้อตกลงระหว่างกันห้ามไม่ให้ผู้ขายกิจการไปประกอบกิจการหรือธุรกิจที่เป็นการแข่งกันกับกิจการที่ซื้อ/เซ้งภายในระยะเวลา และพื้นที่กำหนด ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ขายกิจการย่อมเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และองค์ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับกิจการที่ซื้อ/เซ้งเป็นอย่างดี รวมถึงทราบถึงข้อเด่น ข้อด้อย ข้อจำกัด หรือจุดอ่อนของกิจการที่ซื้อ/เซ้ง หากผู้ขายกิจการกลับมาเปิดกิจการลักษณะที่ใกล้เคียงกันกับกิจการที่ซื้อ/เซ้งอันเป็นการแข่งขันกับกิจการที่ซื้อ/เซ้ง ผู้ซื้อกิจการอาจได้รับความเสียหายได้ (เช่น โดนแย่งลูกค้า ยอดขายลดลงจากที่ประมาณการไว้)

ข้อสำคัญ: การจำกัดการประกอบอาชีพและ/หรือประกอบกิจการที่มากเกินไปอาจไม่สามารถบังคับใช้ได้ (เช่น ประเภทกิจการที่ห้าม พื้นที่ที่ห้าม ระยะเวลาการห้าม) เนื่องจากขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ผู้ใช้งานอาจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อสัญญาการห้ามประกอบอาชีพและ/หรือกิจการได้ที่ คู่มือทางกฎหมาย: ข้อสัญญาหรือข้อตกลงการห้ามประกอบอาชีพและ/หรือกิจการ สามารถบังคับใช้ได้หรือไม่ อย่างไร ภายใต้กฎหมายไทย

(8) การตรวจสอบ

ก่อนการดำเนินการจัดทำสัญญาซื้อขายกิจการ ผู้ซื้อกิจการอาจต้องตรวจสอบข้อมูลสำคัญบางอย่างเพื่อแน่ใจว่าจะไม่เกิดปัญหาในภายหลัง โดยผู้ซื้อกิจการอาจมีข้อพิจารณาในการตรวจสอบกิจการ ดังต่อไปนี้

  • สถานะของทรัพย์สินที่ซื้อ ผู้ซื้อกิจการควรตรวจสอบสถานะของทรัพย์สินหรือสิทธิที่จะซื้อ/เซ้ง โดยเฉพาะทรัพย์สินที่มีทะเบียน เช่น อาคาร อสังหาริมทรัพย์อื่นๆ รถยนต์ นอกจากกรรมสิทธิ์ หรือความเป็นเจ้าของแล้ว ผู้ซื้อกิจการยังควรตรวจสอบว่าทรัพย์สินดังกล่าวมีภาระผูกพันหรือถูกนำไปตราไว้เป็นหลักประกัน (เช่น จำนอง) ไว้หรือไม่
  • หนี้เดิมของกิจการ แม่ว่าในการซื้อ/เซ้งกิจการโดยการซื้อสินทรัพย์สำคัญในการดำเนินกิจการ ผู้ซื้อกิจการจะไม่ได้รับมาซึ่งความรับผิดต่างๆ ของกิจการเดิม (เช่น หนี้สิ้น หนี้ค้างชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ) แต่ในทางปฏิบัติ หากกิจการยังตั้งอยู่สถานที่เดิม ใช้ชื่อกิจการเดิม ในกรณีที่ผู้ขายกิจการไม่ได้แจ้งให้ผู้เป็นเจ้าหนี้ทราบถึงการขายกิจการ อาจทำให้ผู้เป็นเจ้าหนี้ไม่ทราบถึงการซื้อขายกิจการดังกล่าวและสำคัญผิดมาดำเนินการทวงหนี้ รวมถึงใช้มาตรการบังคับกับผู้ซื้อกิจการ อันอาจทำให้ผู้ซื้อกิจการได้รับความเดือดร้อน รำคาญ หรืออาจได้รับความเสียหายได้ ในกรณีเช่นนี้ ผู้ซื้อกิจการ ผู้ขายกิจการ และผู้เป็นเจ้าหนี้ ควรตกลงกันให้ชัดเจนว่าผู้ใดจะเป็นผู้รับผิดชอบในหนี้ค้างชำระดังกล่าว เพื่อให้ผู้เป็นเจ้าหนี้ติดตาม ทวงถามหนี้ได้อย่างถูกต้อง

(9) ดำเนินการทางทะเบียน (ถ้ามี)

ในกรณีที่มีการตกลงซื้อทรัพย์สินที่มีทะเบียน ผู้ซื้อกิจการและผู้ขายกิจการอาจมีหน้าที่ในการดำเนินการเพิ่มเติมตามกฎหมายด้วย เช่น

  • การจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ (เช่น อาคาร ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง)
  • การจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในรถยนต์
  • การจดทะเบียนสิทธิการเช่าในอสังหาริมทรัพย์ (เช่น อาคาร ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง)
  • การจดทะเบียนการโอนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น เครื่องหมายการค้า สิทธิบัตรกรรมวิธี/กระบวนการผลิต)

นอกจากนี้ ในกรณีที่ กิจการที่ซื้อ/เซ้งนั้นเป็นกิจการหรือธุรกิจที่มีกฎหมายควบคุม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของผู้ดำเนินกิจการ ผู้ซื้อกิจการอาจจะต้องดำเนินการขออนุญาตเพื่อประกอบกิจการหรือธุรกิจใหม่หรือดำเนินการอื่นๆ ตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับของหน่วยงานผู้ให้อนุญาตประกอบกิจการหรือธุรกิจนั้นๆ ด้วย (เช่น การดำเนินการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ ดำเนินการเปลี่ยนแปลงผู้ประกอบธุรกิจใหม่)

(10) สิทธิแฟรนไชส์ (ถ้ามี)

ในกรณีที่กิจการที่ซื้อ/เซ้งนั้นเป็นกิจการที่มีสิทธิการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ (Franchise) อยู่ด้วย และผู้ซื้อกิจการต้องการจะประกอบธุรกิจแฟรนไชส์นั้นต่อไป ผู้ซื้อกิจการและผู้ขายกิจการอาจจะต้องพิจารณาตรวจสอบเงื่อนไขในสัญญาแฟรนไชส์ที่ผู้ขายกิจการได้ทำไว้กับเจ้าของแฟรนไชส์ หรือแฟรนไชส์ซอร์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงผู้รับสิทธิในการประกอบธุรกิจ หรือแฟรนไชส์ซี (เช่น วิธีการเปลี่ยนตัวแฟรนไชส์ซี ค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนสัญญา)

นอกจากนี้ ผู้ซื้อกิจการยังควรตรวจสอบเงื่อนไขและข้อตกลงอื่นๆ ในสัญญาแฟรนไชส์ทั้งฉบับ เนื่องจากผู้ซื้อกิจการอาจมีหน้าที่ต้องชำระค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติมอีกในอนาคตตามสัญญาแฟรนไชส์อีกด้วย เช่น ค่าธรรมเนียมรายปี ค่าสิทธิ (Royalty fee)

สรุป

การซื้อหรือเซ้งกิจการ/ธุรกิจซึ่งได้มีการดำเนินการมาแล้วนั้น ย่อมก่อให้เกิดข้อได้เปรียบมากกว่าการเริ่มกิจการ/ธุรกิจใหม่เองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข้อได้เปรียบด้านระยะเวลาในการจัดหาทรัพย์สินในการประกอบกิจการ (เช่น เครื่องมือ อุปกรณ์ วัตถุดิบ และสินค้า) การสร้างชื่อเสียงและฐานลูกค้า การจัดหาสถานที่ตั้ง และทำเล การพัฒนาองค์ความรู้ (เช่น สูตร กรรมวิธี เทคนิค) การพัฒนาบุคลากร (เช่น การอบรมสอนงาน) อย่างไรก็ดี ผู้ซื้อกิจการก็ควรตรวจสอบและพิจารณาถึงข้อควรพิจารณาต่างๆ ที่ได้อธิบายไว้ในคู่มือทางกฎหมายฉบับนี้ประกอบการตัดสินใจในการซื้อ/เซ้งต่อกิจการใดกิจการหนึ่ง อย่างถี่ถ้วน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดในภายหลัง

แบบฟอร์มและตัวอย่างต่าง ๆ ที่สามารถดาวน์โหลดได้ในรูปแบบ Word และ PDF

ให้คะแนนคู่มือฉบับนี้